0610367888  0907099666  

cancer
ขั้นตอนทางการแพทย์สำหรับมะเร็งองคชาต

  หากพบอาการน่าสงสัยว่าจะเป็นมะเร็งองคชาต ควรรีบตรวจวินิจฉัย รีบผ่าตัดโดยเร็ว ซึ่งจะมีส่วนช่วยในการยกระดับผลการผ่าตัดของคุณให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น สำหรับการดูแลมะเร็งองคชาตนั้น โรงพยาบาลมะเร็งสมัยใหม่กว่างโจวจะใช้การบูรณาการเทคโนโลยีการต้านมะเร็งแบบบาดแผลเล็ก 12 วิธี โดยยึดเทคโนโลยีแบบบาดแผลเล็ก ทำให้เซลล์มะเร็งค่อยๆเล็กลงไป โดยมีหลักการพื้นฐานคือดูแลสมรรถภาพทางสรีระให้เป็นปกติ ยกระดับผลการผ่าตัดให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และปรับคุณภาพชีวิตของคุณให้ดีขึ้น

  หากตรวจวินิจฉัยมะเร็งองคชาตแน่ชัดแล้ว แพทย์จะกำหนดแผนการผ่าตัดแบบบูรณาการตามปัจเจกบุคคล โดยดูจากสภาพร่างกายของคุณ ระยะของมะเร็ง ชนิดของมะเร็ง รวมถึงข้อบ่งชี้การดูแล


การรักษาโรคองคชาติ
 

  การดูแลมะเร็งองคชาตแบบดั้งเดิม

  วิธีการดูแลมะเร็งองคชาตแบบดั้งเดิมประกอบไปด้วย การผ่าตัด การฉายรังสี และการใช้เคมี จากชนิดของมะเร็งองคชาตและระดับการรุกล้ำ ทำให้วิธีการผ่าตัดสามารถแบ่งได้เป็น การผ่าตัดองคชาตออกทั้งหมด การผ่าตัดองคชาตออกบางส่วน การผ่าตัดแบบ Mohs ( Mohs micrographic surgery , MMS ) ถึงแม้ว่าผลลัพธ์โดยการผ่าตัดจะแม่นยำ แต่หลังจากผ่าตัดแล้วคุณอาจจะมีปัญหาเกี่ยวกับการปัสสาวะและสมรรถภาพทางเพศ หากหลังผ่าตัดแล้วบริเวณองคชาตที่เหลืออยู่มีขนาดสั้นมาก ก็จะไม่สามารถตั้งขึ้นขับปัสสาวะได้ ส่วนการฉายรังสีเป็นวิธีเสริมในการดูแลมะเร็งองคชาต แต่การฉายรังสีในปริมาณมากจะทำให้เกิดอาการแทรกซ้อน เช่น ทางเดินปัสสาวะตีบแคบ ปัสสาวะเล็ด องคชาตเสื่อมตายและบวมน้ำ เป็นต้น จึงควรเลือกวิธีการดูแลอย่างรอบคอบ นอกจากนี้ การติดเชื้อขององคชาต การเสื่อมตายขององคชาต ก็สามารถลดประสิทธิภาพของการฉายรังสีได้ ส่วนการใช้เคมีนั้นโดยทั่วไปจะใช้เป็นการดูแลมะเร็งองคชาตระยะแรกและการดูแลมะเร็งองคชาตระยะสุดท้ายแบบประคับประคอง

  วิธีการดูแลมะเร็งองคชาตอันล้ำสมัย

  แผนการแบบบูรณาการเทคโนโลยีการดูแลมะเร็งแบบบาดแผลเล็ก 12 วิธีของโรงพยาบาลมะเร็งสมัยใหม่กว่างโจว จะยึดหลักไม่ต้องผ่าตัด ทำให้เนื้อเยื่อองคชาตบางส่วนเล็กลง ผ่าตัดอย่างแม่นยำ ยกระดับประสิทธิภาพของผลลัพธ์การผ่าตัด ลดการเกิดโรคแทรกซ้อน ขณะเดียวกันยังบูรณาการกับการใช้ภูมิคุ้มกัน การดูแลแบบแพทย์แผนจีน เพื่อยกระดับภูมิคุ้มกันของคุณ ทำให้เซลล์มะเร็งขนาดเล็กที่ยังหลงเหลืออยู่ในร่างกายน้อยลง ลดการกลับมาเป็นซ้ำและการลุกลาม

  1. การใช้มีดอ0าร์กอน-ฮีเลียม : การใช้มีดอาร์กอน-ฮีเลียมไม่ได้หมายถึงการใช้มีดผ่าตัดตามความหมายที่แท้จริง แต่เป็นระบบการดูแลมะเร็งโดยการควบคุมทั้งหมด กำหนดตำแหน่งอย่างแม่นยำ และใช้ความเย็นอย่างรวดเร็ว เป็นวิธีการที่ใช้ความเย็นและความร้อนสลับหมุนเวียนกัน “ทำร้าย” บริเวณจุดเกิดโรคของมะเร็งองคชาตออกอย่างเจาะจงเฉพาะส่วน และทำให้เล็กลงไปตามธรรมชาติ จึงสามารถยกระดับผลลัพธ์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดอาการแทรกซ้อน เช่น ปัญหาการทำงานของระบบปัสสาวะ การหย่อนสมรรถภาพทางเพศ เป็นต้น

  2. การฝังแร่ไอโอดีน : การฝังแร่ไอโอดีนกัมมันตรังสี 125I เป็นวิธีที่ใช้บ่อยในการดูแลมะเร็งองคชาตในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งขั้นตอนการดูแลด้วยวิธีนี้คือ ขณะใช้เทคโนโลยีแบบบาดแผลเล็กหรือเมื่อทำการศัลยกรรมผ่าตัด ก็จะฝังแร่กัมมันตรังสีลงไปภายในเนื้อเยื่อมะเร็งองคชาตโดยตรง ซึ่งจะทำให้เซลล์มะเร็งเล็กลงอย่างแม่นยำด้วยรังสีแกมม่าที่ปล่อยออกมาจากแร่ไอโอดีนอย่างต่อเนื่อง ตัดเส้นทางการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง ยกระดับผลลัพธ์ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ลดการกลับมาเป็นซ้ำและการลุกลาม ลดการทำลายเนื้อเยื่อปกติ ทั้งยังคงการทำงานของสรีระไว้ให้เป็นปกติอีกด้วย

  3. การดูแลเฉพาะจุดผ่านหลอดเลือด : เป็นการให้ยาอุดหลอดเลือดเฉพาะจุดหรือการให้คีโมเฉพาะจุด เพื่อสกัดกั้นเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงก้อนมะเร็ง เซลล์มะเร็งโดยตรง นอกเหนือจากก้อนเนื้องอกบริเวณผิวชั้นนอกที่สามารถใช้การดูแลโดยการขลิบหนังหุ้มปลายได้ มะเร็งองคชาตระยะอื่นๆ ต้องใช้การดูแลโดยการให้คีโมเฉพาะจุด เพื่อยกระดับผลลัพธ์แบบบูรณาการให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นหรือปรับคุณภาพของการผ่าตัดให้ดียิ่งขึ้น

คำหลัก: มะเร็งองคชาต, การรักษามะเร็งองคชาต

ติดตามข้อมูลข่าวสารและเกร็ดความรู้ดีๆจากเราได้ที่

หากมีข้อสงสัย สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่

*หมายเหตุ : ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล

ชื่อ นามสกุล *

เลือกประเภทโรค *

เบอร์โทรศัพท์ *

มีผลการตรวจหรือไม่ *

ติดต่อเรา
คำถามที่พบบ่อย
เข้าร่วมงานสัมมนา

*ประกาศ : การผ่าตัดจะให้ผลลัพธ์ที่ค่อนข้างดีต่อมะเร็งระยะแรก ที่เป็นมะเร็งชนิดเป็นก้อน (Solid Tumor) แต่อาจจะไม่เหมาะในการใช้กับมะเร็งระยะสุดท้าย สำหรับผู้ป่วยระยะกลาง ไปจนถึงระยะสุดท้ายที่มีภูมิต้านทานในร่างกายต่ำ เทคโนโลยีแบบบาดแผลเล็ก บูรณาการร่วมกับการคีโมและการฉายแสง จะช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานและลดผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับผู้ป่วย ช่วยให้ผู้ป่วยได้รับผลลัพธ์ที่ดีมากยิ่งขึ้น